PLC_CADL_030 : AAR เพื่อพัฒนาบุคลากร GE ปี ๕๗ กลุ่มงานวิชาการ (๓)
บันทึกที่ ๑ ...
บันทึกที่ ๒ ...
ตอนบ่ายของวันที่ ๓ เมษาฯ ระหว่างที่กำลังถกปัญหากันได้ที่ มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น "ไฟดับ" ความร้อนอบอ้าว ทำให้เราต้องเปลี่ยนสถานที่มาเป็นระเบียงในอาคารที่ัพัก โชคร้ายกลายเป็นดีทันที เพราะเราได้สถานที่และบรรยากาศที่เหมาะกับกระบวนการจิตศึกษา เราทำกระบวนการจิตตปัญญาแบบย่อๆ ... (แต่ก็พอได้ในความเห็นผม)
ถ้าสมมติว่าทุกคนเป็น "ผู้มาใหม่" ในเรื่องการเรียนรู้จากภายใน (หรือก็คือเรียนรู้จากใจตนเอง) จำเป็นจะต้องรู้ความจริง ๓ ประการ ได้แก่
ผมพยายามเต็มกำลัง เริ่มด้วยกิจกรรม "ฟัง ๔ แบบ" (ผู้สนใจอ่านได้ที่นี่ครับ) ตามด้วยกิจกรรม "สื่อสารผ่านสัมผัส หัดเรียนรู้จิต แยกการคิดกับการรู้สึก" (ผู้สนใจอ่านที่นี่ครับ) และปิดท้ายด้วยกิจกรรม "กิจกรรมตีมือดูใจ" เหมือนกับที่ผมเคยใช้กับเวทีครูอ่านได้ที่นี่ครับ .... ผมไม่รู้ว่ากิจกรรมคราวนี้ได้ผลมากน้อยเท่าใด แต่ถ้าทุกคนเข้าใจและปฏิบัติได้ จะทำให้มีความสุขกับการทำงานตามสมควรแก่ "ทำ (ธรรม)" นั้นแน่นอน
วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๗
วันที่ ๔ เมษาฯ ผมตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งบนสันเขื่อนลำปาว ได้เรียนรู้ทั้งวิธีชีวิตทำกินของชาวบ้าน ได้เห็นศักยภาพที่รอ (กำลังสร้าง) การพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้บ้าน ผมเขียนบันทึกและถ่ายภาพบางส่วนไว้ที่นี่ครับ เรากลับมาเริ่ม "วง" ประมาณ ๙ นาฬิกาเศษๆ วันนี้มี รศ.ดร.นงนิตย์ รองผู้อำนวยการศึกษาทั่วไปฝ่ายวิชาการมาร่วมกับเราด้วย และท่านยังเสนอแนวคิดดีๆ ที่ผมเขียนไว้ในบันทึกที่ ๒ แล้ว
เราใช้กิจกรรมให้ช่วยกันคิด "แบบกึ่งหลุดโลก" โดยตั้งโจทย์ให้ทุกคนคิดโครงการที่จะทำให้ "อาจารย์ผู้สอนประทับใจ" โดยสามารถใช้งบประมาณได้แบบไม่จำกัด ต่อไปนี้คือความคิดที่เสนอมา
ผมบอกว่าความคิดที่เห็นตรงกันขนาดนี้นั้นเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญมาก ผู้บริหารและฝ่ายดำเนินงานต้องกลับไปทำการบ้านว่าจะทำอย่างไรให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา แต่วันนี้ขอหยิบแนวคิด "หลุดกรอบ" มาขยาย ว่าเราจะทำอย่างไรให้เป็นไปได้จริงๆ
หลังจากคุยกันแบบสวมหมวดสีเขียว (เน้นความคิดสร้างสรรค์) เราได้แนวทางปฏิบัติจากฐานคิด "อาจารย์นิยม" (แปลงจาก "ประชานิยม") ๔ อย่าง ได้แก่
ห้องเรียนแบบหลุดโลกนี้ มีเก้าอี้เหมือนโรงหนัง มีไมค์และจอติดทุกตัว มีจอสัมผัสขนาดใหญ่ยักษ์เหมือนอ่านข่าวทีวีสมัยนี้อยู่ด้านหน้า มีระบบคอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีระบบตรวจเช็คชื่อที่หน้าประตู ..... ฟังดูแล้วหรูสุดๆ ไปเลยครับ แต่จะเป็นห้องเรียนไฮเทค "ช่วยสอน" หรือ "ช่วยเรียน" ก็ต้องขึ้นกับกิจกรรมการเรียนรู้ของอาจารย์ผู้สอนอีกที
ปิดวง กล่าวคนละครึ่งนาทีว่า ได้เรียนรู้หรือประทับใจอะไรในสัมมนาครั้งนี้
โดยรวมแล้วผมคิดว่าทุกคนมีความสุข ที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในบรรยากาศสบายๆ ไม่ "วิชาการ" เกินไป (แต่ความจริง มีคนบอกว่าบรรยากาศเป็นไปอย่างวิชาการมากๆ) ผมเองประทับใจที่มีส่วนทำให้เกิดกิจกรรมผ่อนคลายดีๆ แบบนี้บ้าง แม้บางอย่างอาจไม่ประทับใจ ต่อไปก็จะปรับปรุงให้ดีกว่านี้ ...
บันทึกที่ ๒ ...
ตอนบ่ายของวันที่ ๓ เมษาฯ ระหว่างที่กำลังถกปัญหากันได้ที่ มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น "ไฟดับ" ความร้อนอบอ้าว ทำให้เราต้องเปลี่ยนสถานที่มาเป็นระเบียงในอาคารที่ัพัก โชคร้ายกลายเป็นดีทันที เพราะเราได้สถานที่และบรรยากาศที่เหมาะกับกระบวนการจิตศึกษา เราทำกระบวนการจิตตปัญญาแบบย่อๆ ... (แต่ก็พอได้ในความเห็นผม)
ถ้าสมมติว่าทุกคนเป็น "ผู้มาใหม่" ในเรื่องการเรียนรู้จากภายใน (หรือก็คือเรียนรู้จากใจตนเอง) จำเป็นจะต้องรู้ความจริง ๓ ประการ ได้แก่
- ทุกสิ่งทุกอย่างมีใจเป็นผู้นำ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จได้ด้วยใจ (มะโนบุพพัง คะมา ธัมมา มะโนเสฎฐา มะโน มะยา) ดังนั้นเวาล "ฟัง" ต้อง "ตั้งใจ" เพราะเราใช้ใจฟัง ใช้หูเป็นเครื่องมือรับเสียงและใช้สมองในการคิด ข้อนี้สวนทางกับความเข้าใจส่วนใหญ่ของนักวิทยาศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับสมองกว่า
- "ใจ" หรือ "จิตใจ" จะทำหน้าที่ "คิด" หรือ "รับรู้" (รู้คิด รู้สึก) ได้ที่ละอย่าง เรียกว่าทำงานได้ทีละ "ขณะจิต" เช่น ตอนที่เราฟัง เราจะไม่สามารถ "รู้ว่ากำลังฟัง" หรือ "รู้ว่ากำลังคิด" เพราะความจริงแล้ว สองอย่างนี้เกิดสลับกัน คือ เมื่อจิตเผลคิดก็ไม่รู้ เมื่อจิตรู้การเผลอก็ดับไป
- เราไม่สามารถควบคุมบังคับ "ใจ" (หรือจิตใจ)ได้จริง (เรียกว่า อนัตตา) ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป" เปลี่ยนแปรไป (เรียกว่าอนิจจัง) ทนอยู่ไม่ได้จริง (เรียกว่าทุกขัง) ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่มากระทบกับตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย หรือดำริขึ้นด้วยใจเอง
ผมพยายามเต็มกำลัง เริ่มด้วยกิจกรรม "ฟัง ๔ แบบ" (ผู้สนใจอ่านได้ที่นี่ครับ) ตามด้วยกิจกรรม "สื่อสารผ่านสัมผัส หัดเรียนรู้จิต แยกการคิดกับการรู้สึก" (ผู้สนใจอ่านที่นี่ครับ) และปิดท้ายด้วยกิจกรรม "กิจกรรมตีมือดูใจ" เหมือนกับที่ผมเคยใช้กับเวทีครูอ่านได้ที่นี่ครับ .... ผมไม่รู้ว่ากิจกรรมคราวนี้ได้ผลมากน้อยเท่าใด แต่ถ้าทุกคนเข้าใจและปฏิบัติได้ จะทำให้มีความสุขกับการทำงานตามสมควรแก่ "ทำ (ธรรม)" นั้นแน่นอน
วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๗
วันที่ ๔ เมษาฯ ผมตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งบนสันเขื่อนลำปาว ได้เรียนรู้ทั้งวิธีชีวิตทำกินของชาวบ้าน ได้เห็นศักยภาพที่รอ (กำลังสร้าง) การพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้บ้าน ผมเขียนบันทึกและถ่ายภาพบางส่วนไว้ที่นี่ครับ เรากลับมาเริ่ม "วง" ประมาณ ๙ นาฬิกาเศษๆ วันนี้มี รศ.ดร.นงนิตย์ รองผู้อำนวยการศึกษาทั่วไปฝ่ายวิชาการมาร่วมกับเราด้วย และท่านยังเสนอแนวคิดดีๆ ที่ผมเขียนไว้ในบันทึกที่ ๒ แล้ว
เราใช้กิจกรรมให้ช่วยกันคิด "แบบกึ่งหลุดโลก" โดยตั้งโจทย์ให้ทุกคนคิดโครงการที่จะทำให้ "อาจารย์ผู้สอนประทับใจ" โดยสามารถใช้งบประมาณได้แบบไม่จำกัด ต่อไปนี้คือความคิดที่เสนอมา
- โครงการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์ โดยพาไปสัมมนานอกสถานที่ ๓ วัน ๒ คืน โดยทำงานกัน ๑ วัน เที่ยวพักผ่อนตามอัธยาศัย ๒ วัน
- จัดกีฬาสานสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรอาจารย์นอกสถานที่ โดยจัดให้มีกิจกรรมเชิงผจญภัยร่วมกัน
- จัดโครงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรและอาจารย์ โดยให้แต่ละคนร่วมทำกิจกรรม "บทบาทสมมติ" ว่าตนเองเป็น บุคลากร อาจารย์ หรือนิสิต เพื่อ "เอาใจเขา มาใส่ใจเรา"
- จัดโครงการสัมมนานอกสถานที่ระหว่าง อาจารย์ บุคลากร GE และบุลากรจากคณะวิชาด้วย
- จัดสัมมนา พาอาจารย์ไปต่างประเทศ โดยให้เจ้าหน้าที่ GE ไปให้บริการ
- จัดโครงการสร้างความสัมพันธ์นอกสถานที่ระหว่าง เจ้าหน้าที่วิชาการ GE เจ้าหน้าทีวิชาการคณะวิชา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนกลาง
- แจกตำราเรียนฟรี
ผมบอกว่าความคิดที่เห็นตรงกันขนาดนี้นั้นเป็นเรื่องที่มีนัยสำคัญมาก ผู้บริหารและฝ่ายดำเนินงานต้องกลับไปทำการบ้านว่าจะทำอย่างไรให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา แต่วันนี้ขอหยิบแนวคิด "หลุดกรอบ" มาขยาย ว่าเราจะทำอย่างไรให้เป็นไปได้จริงๆ
หลังจากคุยกันแบบสวมหมวดสีเขียว (เน้นความคิดสร้างสรรค์) เราได้แนวทางปฏิบัติจากฐานคิด "อาจารย์นิยม" (แปลงจาก "ประชานิยม") ๔ อย่าง ได้แก่
- แจกไมค์ลอย การแจกไมค์ลอยจะทำให้การเรียนการสอนเปลี่ยนไปแน่นอน อาจารย์สามารถจัดการเรียนการสอนโดยให้นิสิตมีส่วนร่วมได้ง่ายขึ้น และการเดินดูและนิสิตไปรอบๆ ห้อง จะทำบรรยากาศการเรียนการสอนน่าสนใจขึ้นแน่นอน
- จัดทำห้องรับรองอาจารย์
- จัดที่จอดรถให้อาจารย์
- จัดทำห้องเรียนต้นแบบ (ห้องเรียน BP)
ห้องเรียนแบบหลุดโลกนี้ มีเก้าอี้เหมือนโรงหนัง มีไมค์และจอติดทุกตัว มีจอสัมผัสขนาดใหญ่ยักษ์เหมือนอ่านข่าวทีวีสมัยนี้อยู่ด้านหน้า มีระบบคอมพิวเตอร์อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีระบบตรวจเช็คชื่อที่หน้าประตู ..... ฟังดูแล้วหรูสุดๆ ไปเลยครับ แต่จะเป็นห้องเรียนไฮเทค "ช่วยสอน" หรือ "ช่วยเรียน" ก็ต้องขึ้นกับกิจกรรมการเรียนรู้ของอาจารย์ผู้สอนอีกที
ปิดวง กล่าวคนละครึ่งนาทีว่า ได้เรียนรู้หรือประทับใจอะไรในสัมมนาครั้งนี้
โดยรวมแล้วผมคิดว่าทุกคนมีความสุข ที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในบรรยากาศสบายๆ ไม่ "วิชาการ" เกินไป (แต่ความจริง มีคนบอกว่าบรรยากาศเป็นไปอย่างวิชาการมากๆ) ผมเองประทับใจที่มีส่วนทำให้เกิดกิจกรรมผ่อนคลายดีๆ แบบนี้บ้าง แม้บางอย่างอาจไม่ประทับใจ ต่อไปก็จะปรับปรุงให้ดีกว่านี้ ...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น