เจตคติ กับ เจตสิก (คิดเรื่องหลักการในการวัดคุณธรรมแบบพุทธ)
"เจตคติ" เป็นคำที่สำนักราชบัณฑิตฯ นิยามขึ้นเพื่อแปลคำว่า "attitude" รากศัพท์ของคำว่า "เจตคติ" คือ คำภาษาบาลีว่า "เจตนา" ซึ่งเป็นเพียง ๑ ใน ๕๒ "เจตสิก" และคำว่า "คติ" (อ่านละเอียดที่นี่)
องค์ความรู้เรื่อง "เจตสิก" (เจตคติตามแนวพุทธ)
องค์ความรู้เกี่ยวกับคำว่า "เจตสิก" มีอธิบายไว้ในพระอภิธรรม ตำราคำสอนในพระพุทธศาสนา สรุปสั้นที่สุดได้ดังนี้ (หากต้องการอ่านเอง คลิกที่นี่ ที่นี่ และที่นี่ เขียนได้ดีมาก)
- คน ประกอบด้วย กาย จิต และ เจตสิก
- จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ (อารมณ์ในที่นี้คือทุกสิ่งที่ถูกรู้) ทำหน้าที่ รู้ ระลึก คิด
- เจตสิก คือ ธรรมชาติที่เกิดประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นไปต่าง ๆ อาการที่ประกอบจิต
- เจตสิก มีลักษณะเฉพาะตน ๔ ประการ ได้แก่
- เกิดพร้อมจิต
- ดับพร้อมจิต
- อารมณ์เดียวกับจิต
- อาศัยวัตถุเดียวกันกับจิต
- ดังนั้น จิตจึงเป็นใหญ่ เป็นประธาน เพราะ เจตสิกต้องอาศัยจิตเสมอ
- เจตสิกมีทั้งหมด ๕๒ ชนิด แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่
- เจตสิกที่เกิดประกอบกับจิตทั่วไป จิตดวงใดก็ได้ ทั้งกุศล อกุศล และอภยะกฤตหรือจิตที่ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศล
- เจตสิกที่เป็นฝ่ายกุศล หรือ ฝ่ายดี หรือ ฝ่ายบุญ
- เจตสิกที่เป็นฝ่ายอกุศล หรือ ฝ่ายไม่ไดี หรือ ฝ่ายบาป
ผู้สนใจโปรดคลิกศึกษาดูเองตามลิงค์ที่ผมให้ไว้ หรือจะสืบค้นเองก็ไม่ใช่เรื่องยากใด ๆ ครับ ผมสรุปโดยพยายามตัดภาษาบาลีออก เหลือไว้จะเฉพาะความหมายที่ตนเข้าใจไว้ (ผิดถูกอย่างไร เชิญอภิปรายต่อไปเถิด) ดังภาพด้านล่าง
หลักการวัดคุณธรรม
จากการศึกษาองค์ความรู้เรื่องจิต เจตสิก สรุปได้ว่า
- คุณธรรม คือ การกระทำของกายและใจ
- ทุกครั้งที่กายใจทำงาน ก็คือ จิตทำงาน โดยเฉพาะ ตอนที่มี เจตนา หรือก็คือเกี่ยวข้องกับ "เจตคติด"
- ทุกครั้งที่จิตทำงาน จะประกอบกับ เจตสิก ซึ่งก็คือ ธรรมชาติที่ปรุงแต่ง เป็นอาการต่าง ๆ ซึ่งนำมาสู่พฤติกรรมของคน
- ดังนั้น ถ้าจะวัดคุณธรรม เราจึงสามารถนำเอาองค์ความรู้เรื่องเจตสิก มาสร้างเครื่องมือวัดได้
- นั่นคือ ทุกคำถาม แบบสอบถาม หรือการสังเกต เพื่อจะประเมินคุณธรรม ควรจะกระทำโดยตั้งอยู่บนเกณฑ์จากเจตสิก
หากคำนึงถึงคำสอนในพระพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้
- ถ้าต้องการรู้ว่า ใครเป็นผู้มีผิวพรรณดีหรือไม่ (รูปร่างดี-รูปร่างไม่ดี สวย-ไม่สวย หล่อ-ไม่หล่อ งาม-ไม่งาม) จะต้องพบเจอ พบเห็นด้วยตา ... (ในทำนองเดียวกัน รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหล่านี้ต้องวัดโดยการ "สัมผัส" ทาง ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย)
- ถ้าต้องการจะรู้ว่า ใครเป็นผู้มีปัญญาดีหรือไม่ จะต้องสนทนาด้วย ... (คือจะต้องได้พูดคุย ถาม-ตอบ อภิปราย ได้ฟังการอธิบาย สังเกตความคิดความอ่านผ่านการสนทนา)
- ถ้าต้องการจะรู้ว่า ใครเป็นคนดีหรือไม่ดี จะต้องอยู่ร่วมกัน... (คือคบ ค้า หรือสมาคมกัน อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เป็นเพื่อนกัน เป็นญาติกัน ทำงานร่วมกัน ฯลฯ)
แสดงว่า
- คุณธรรม จริยธรรม เป็นเรื่องภายใน เกิดขึ้นภายในด้วยจิตใจเป็นใหญ่ ... แสดงออกทางกายหรือพฤติกรรมผ่านการคิด ผ่านกระบวนการทำงานของสมอง
- เราควรแยกการวัดคุณธรรมจริยธรรม ออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่
- การวัดเหตุผลทางจริยธรรม คือ วัดจากความคิด สังเกตจากการตอบคำถาม การสร้างเครื่องมือคือการสร้างคำถาม สมมติสถานการณ์ขึ้นให้คิดตอบ ... (ปัญหาคือ ความคิด กับการกระทำจริง ๆ อาจไม่เหมือนกัน)
- การวัดคุณธรรมจริยธรรมจากการกระทำ คือ วัดจากการสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออกเมื่อเผชิญกับสถานการณ์จริง ๆ
- ถ้าจะรู้ว่าบุคคลเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ สามารถสังเกตได้จาก ๓ แบบเท่านั้น ได้แก่
- สังเกตตนเอง .... หมายถึง การวัดคุณธรรมจริยธรรมของตนเอง ด้วยการ สังเกตตนเอง ... ชาวพุทธเรียกว่า การเจริญสติ ดูกาย ดูใจ หรือเรียกทั่วไปว่า "ดูจิต"
- สังเกตจากผู้ที่เคยอยู่ร่วมด้วย ... อาจใช้การสอบถาม หรือ การสัมภาษณ์
- สังเกตจากพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออก ...ผู้สังเกตอาจเป็นใครก็ได้ เป็นนักวิจัย เครื่องมือที่ใช้อาจเป็นแบบสังเกต แบบสอบถาม หรือแบบทดสอบ โดยอาจสังเกตจากหลักฐานต่างๆ ประกอบ เช่น ผลงาน ชิ้นงาน หรือร่องรอยต่าง ๆ
ต่อไปเราจะนำแนวคิดนี้ไปสร้างเครื่องมือวัดครับ .... (ขอจบเท่านี้ )
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น