mini-UKM#20 @NPU (1): Good Practice กับ Best Practice
สามวันนี้มีการจัดงาน mini-UKM ครั้งที่ ๒๐ ที่ วิทยาลัยการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยนครพนม ผมอาสามาร่วมโดยร่วมทางมากับทีมประกันคุณภาพของมหาวิทยาลัย ตั้งใจจะเอา Good Practice (GP) ที่เราได้ถอดบทเรียนไว้ มาแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ผู้สอนมหาวิทยาลัยอื่น เพื่อประโยชน์ต่อไป
การออกแบบกิจกรรม mini-UKM ครั้งนี้คล้ายกระบวนการปีที่แล้ว ยังกำหนดที่ ๔ ประเด็นแลกเปลี่ยน แต่มีการเพิ่มกิจกรรมในช่วงบ่ายของวันแรกเพื่อเน้นให้ผู้มาร่วมรู้จัก KM รู้จักลักษณะและวิธีการค้นหา Best Pracetice (BP) ก่อนจะเปิดงานในวันที่สองและค้นหา BP ต่อไป
GP และ BP ต่างกันอย่างไร
ศาสตราจารย์ นพ.วุฒิชัย ธนาพงศธร เน้นย้ำให้เห็นความตกต่างระหว่าง GP และ BP ผมจับความได้ดังต่อไปนี้ครับ
ท่านเริ่มด้วยการให้สมาชิกทุกท่านเขียนตอบคำถาม ๔ คำถาม ต่อไปนี้ ลงในกระดาษ A4
การออกแบบกิจกรรม mini-UKM ครั้งนี้คล้ายกระบวนการปีที่แล้ว ยังกำหนดที่ ๔ ประเด็นแลกเปลี่ยน แต่มีการเพิ่มกิจกรรมในช่วงบ่ายของวันแรกเพื่อเน้นให้ผู้มาร่วมรู้จัก KM รู้จักลักษณะและวิธีการค้นหา Best Pracetice (BP) ก่อนจะเปิดงานในวันที่สองและค้นหา BP ต่อไป
GP และ BP ต่างกันอย่างไร
ศาสตราจารย์ นพ.วุฒิชัย ธนาพงศธร เน้นย้ำให้เห็นความตกต่างระหว่าง GP และ BP ผมจับความได้ดังต่อไปนี้ครับ
ท่านเริ่มด้วยการให้สมาชิกทุกท่านเขียนตอบคำถาม ๔ คำถาม ต่อไปนี้ ลงในกระดาษ A4
- Best Practice คืออะไร
- ทำไมต้องค้นหา Best Practice
- ท่านจะค้นหาประเด็น Best Practice เรื่องใด
- การค้นหา BP ทำได้อย่างไร
ท่านบรรยายสรุปเฉลย ผมจับใจความได้ว่า
- BP คือแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ หรือ แนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ... เน้นย้ำคำว่า "ดีที่สุด" ไม่ใช่แนวปฏิบัติที่ได้ผลจากบุคคลคนเดียว BP ต้องมีองค์ประกอบ ๓ อย่างได้แก่
- เป็น GP คือ แนวปฏิบัติที่ได้ผลของบุคคลผู้ปฏิบัติ
- เป็น GP ที่เกิดจากกระบวนการจัดการความรู้ หรือ KM
- เป็น GP ที่ดีที่สุดที่ผ่านการ Benchmark เปรียบเทียบกับ GP ในประเด็นเป้าหมายหัวปลาเดียวกัน
- เหตุที่ต้องค้นหา BP เพราะนั่นเป็นวิธีที่จะพัฒนางานให้ประสบผลสำเร็จที่สุด
- ต้องค้นหา BP เรื่องใด ... อันนี้ท่านไม่ได้เฉลย ... ผมตอบว่า ต้องค้นหา BP ในเรื่องที่ตนเองประสบผลสำเร็จที่สุด ภูมิใจที่สุด นั่นเอง
- การค้นหา BP จะต้องทำอย่างไร .... ก็ต้องทำ ๓ ขั้นต่อไปนี้
- ลงมือทำงานด้วยวิจารณญาณและการปฏิบัติที่แยบยล จนประสบผลสำเร็จจนเกิดความภาคภูมิใจ เกิดผลประจักษ์ต่อตนเองและคนอื่น
- จัดการความรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ความสำเร็จของตนเองและคนที่เกี่ยวข้อง หรือของทีมงานหรือองค์กร จะได้ GP
- นำ GP ไปนำเสนอและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้ปฏิบัติอื่น ๆ ที่มีเป้าหมายและประเด็นเดียวกัน แล้วร่วมกันเปรียบเทียบว่า วิธีใด GP อันไหนที่ให้ผลดีที่สุด ... GP นั้น ก็คือ BP
ผมวาดรูปด้านล่างเพื่อสรุปความคิดรวบยอด (Conceptographic) เกี่ยวกับเรื่องนี้
ศ.นพ.วุฒิชัย เน้นว่า เราไม่สามารถจะ Benchmark ข้ามประเด็นกันได้ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ครับ ในกลุ่มย่อยที่ผมเป็นสมาชิก มี GP ที่ไม่อาจจะ Benchmark ได้จริง ๆ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กลุ่มย่อย
ขอบันทึกไว้ในความทรงจำ ประสบการณ์ GP ที่แต่ละท่านนำมาแบ่งปันไว้ในกลุ่ม ดังนี้ จากซ้าย ไปขวา
- ท่านที่ ๑ อาจารย์หนุ่มสุดหล่อ ปรับวิธีการสอนของท่าน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สร้างความสนใจให้นักศึกษายุคใหม่อย่างได้ผล เช่น แอฟพลิเคชั่น Zipgrade, Kahoot, Plicker, ฯลฯ
- ท่านที่ ๓ มี GP ที่นำเอา "การมีส่วนร่วม" มาใช้พัฒนางานในกองส่งเสริมการบริการ จนงานก็ได้ผล คนก็เป็นสุขสามัคคีกัน
- ท่านที่ ๔ มีความสำเร็จกับ GP ที่ต้องใช้ความเสียสละ ทำงานหนัก รับภาระของเพื่อนอาจารย์ ทั้งประสานงานและทำงานเหมือนที่ปรึกษากับทั้งนักศึกษา ผู้ปกครอง จนหลักสูตรที่ท่านทำหน้าที่เป็นประธาน ผ่านวิกฤตที่ต้องปิดไป จากนักศึกษาที่หล่น หลุดหาย เป็นคงจำนวนอยู่ได้ และเพิ่มจำนวนได้ทุก ๆ ปี
- ท่านที่ ๕ มีชื่อเสียงในกลุ่มเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน ว่า ประสบความสำเร็จเรื่องการเจรจาต่อรอง หากเมื่อใดจะมีการเจรจาต่อรอง ต้องให้ท่านเป็นตัวแทน จะชนะเสมอ ท่านให้เคล็ดลับเป็นหลักการ ๓ ประการ ได้แก่
- รู้เขา รู้เรา คือ ต้องรู้ว่า อะไรมีค่าสำหรับเรา สำหรับเขา อะไรมีคุณค่ามากน้อยเท่าไหร่ในมุมองเขาและของเรา
- ทั้งสองฝ่ายต้องได้ประโยชน์ คือ WIN WIN
- ต้องมั่นใจเสมอ มั่นใจว่าฉันทำได้
- ท่านที่ ๖ มี GP ในการเปลี่ยนเจตคติของนักศึกษาพยาบาล ที่ร้อยละ ๙๐ ตั้งใจมาเรียนเพราะด้วยความแค่ว่าจะไม่ตกงาน ท่านใช้วิธีการสอนผ่านการทำงานจริง และให้สะท้อนการเรียนรู้ แล้ว Coaching ด้วยคำถามตอบและสนทนา กับนักศึกษารายบุคคล จนปรับเปลี่ยนเจตคติได้จำนวนหลาย ๆ คน
- ท่านที่ ๗ คนขวาสุด มี GP ของความเพียร จากที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้างานด้านที่ตนเองไม่ได้เรียนมา ไม่มีความชำนาญ อาจารย์เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง จนผ่านปีไป สามารถสอนงานให้เจ้าหน้าที่ได้ทั้งหมด จนได้รับการยอมรับ
เนื่องจาก ศ.นพ.วุฒิชัย ท่านบอกว่า แลกเปลี่ยนวันนี้ เพื่อให้ทุกคนเห็นกระบวนการค้นหา BP ร่วมกัน ผมจึงยังไม่ได้แบ่งปันเรื่องการสอนแบบครูเมืออาชีพที่เตรียมมา หยิบเอาเรื่องการบูรณาการการปฏิบัติธรรมกับการทำงาน แลกเปลี่ยนเรื่องการฝึก "ดูจิต" ตามแนวทางหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ด้วยหวังว่าสิ่งที่ดี ๆ นี้จะส่งต่อไปให้ผู้อื่นได้ลองฝึกต่อไป
การบูรณาการงานกับการปฏิบัติธรรม
ผมเริ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตน ด้วยประโยคป้องกันตนเอง ทำนองว่า จริง ๆ ผมก็ยังฝึกฝนไปไม่ถึงไหน แต่เห็นว่าสิ่งนี้ดีและมั่นใจว่ามาถูกทาง จึงอยากจะนำมาแลกเปลี่ยนเป็นแนวทางสำหรับท่านที่สนใจ ทดลองดู
- คนเรา ประกอบด้วย กาย จิต และ เจตสิก
- จิตทำหน้าที่ "รู้" และ "คิด"
- เจตสิก คือสิ่งที่เกิดประกอบกับจิต เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ อารมณ์ต่าง ๆ ที่จิตรู้ได้
- สิ่งที่เราฝึกคือการ "ดูจิต" คือ การรู้กาย รู้ใจ ด้วยใจที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง
- คือดูสภาวะธรรม หรืออารมณ์ที่เกิดกับจิตของตนเอง ระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น
- ความโกรธเกิดขึ้น รู้ว่าโกรธ ความอิจฉาเกิด รู้ว่าอิจฉา ความอยากได้เกิดขึ้น รู้ว่าอยากได้ ความอยากพูดเกิดขึ้น รู้ว่าอยากพูด ฯลฯ
- ฯลฯ
- ดูว่า ใจชอบ หรือ ไม่ชอบ สภาวะธรรมนั้น
- เป้าหมายคือ การดูให้เห็นการเกิดดับของสภาวะธรรม (ดูเพื่อเห็นไตรลักษณ์ วิปัสนา)
ความยากของการ "ดูจิต" สำหรับผม นอกจากความฟุ้งซ่านแล้ว คือ การเข้าไปแทรกแซงจิต โดยใช้การคิดบวกหรือกดข่มใจให้ดูดี เป็นคนดี ... อย่างไรก็ดี ถึงวันนี้ ผมเองก็ประจักษ์ถึงผลดีของการพัฒนาจิตใจตนเองในระดับหนึ่ง มั่นใจว่านี่ล่ะแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาจิตใจตนเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น