"ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน" จากมุมมอง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช บรรยายในงาน มมส.วิจัย ครั้งที่ ๑๔
วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๑ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จัดงานประชุมวิชาการระดับชาติครั้งที่ ๑๔ ผมไม่มีโอกาสได้ฟังบรรยายพิเศษในฐานะองค์ปาฐก เรื่อง "๕๐ ปี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ผู้มีปัญญาควรเป็นอยู่เพื่อมหาชน" เพราะขณะนั้นอยู่ในเวทีประจำปีของครูเพื่อศิษย์อีสานประจำปี (อ่านได้ที่นี่และที่นี่) วันนี้ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๑ ท่านได้เผยแพร่สไลด์และเสียงบรรยายใน G2K (ที่นี่) เพื่อจะได้เรียนรู้และนำเอาคำแนะนำไปขับเคลือน Social Engagement University จึงจะจับประเด็นไว้ในบันทึกนี้ ... เผื่อจะมีประโยชน์กับผู้สนใจต่อไป
เกริ่นนำ
เกริ่นนำ
- ท่านเกริ่นนำด้วยการเล่าถึงหนังสือชื่อ Tailspin ที่ท่านเคยแนะนำไว้ในบันทึกที่นี่ หนังสือนี้บอกว่า ตอนนี้อเมริกากำลัง "ควงสว่าน" หรือถดถอยลงตามลำดับในช่วง ๕๐ ปีที่ผ่านมา เนื่องเพราะระบบใหม่ที่ยกย่องความสามารถเป็นใหญ่ (meritocracy) ที่สร้างขึ้นแทนระบบเดิมที่ยกกลุ่มคนรวยเป็นใหญ่ (aristocracy) กลายเป็น new aristocracy ที่ทำให้เกิดการสั่งสมอำนาจของกลุ่มคน จนทำให้
- อัตราความยากจนสูงเป็นอันอับ ๓ ของ รองจากตุรกีและอิสรเอล (ในกลุ่มประเทศไออีซีดี)
- ๑ ใน ๕ ของเด็กอเมริกัน อยู่ในสภาพที่ "ไม่มีความมั่นคงทางอาหาร"
- ระบบการเมืองที่ออกแบบดี แต่กลับทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ไม่ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ... (เพราะคนไม่ดี)
- ท่านตั้งคำถามว่า นั่นคือการ คอรัปชั่นเชิงระบบหรือไม่??????
- ปัญหาคือ ประเทศไทยกำลังทำตามอเมริกา สิ่งที่เรากำลังพัฒนาอยู่ตอนนี้คือ meritocracy และการเมืองที่เรียกกันว่า "ประชาธิปไตย" ใช่มั่งไปเหมือนอเมริกาไหม....
- ท่านสรุปช่วงเกริ่นนี้ ทำนองว่า สิ่งที่สำคัญอันจะทำให้เราแตกต่างไม่เหมือนอเมริกาก็คือ การสร้างคนของมหาวิทยาลัย ที่จะจบไปเป็น "ผู้มีปัญญาที่พึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน"
- อุดมศึกษาในปัจจุบัน ไม่เหมาะสมต่อยุคสมัยแล้ว เพราะ
- แพงเกินไปแล้ว
- ตอนนี้มี MOOCs เข้ามาแทนที่ (Disruptive) ซึ่งถูกกว่ามาก
- ที่อเมริกา หลักสูตร ๔ ปี เรียนจบเพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์
- ในอเมริกา มหาวิทยาลัยเริ่มปิดตัวลงจำนวนมาก
- คนอเมริกาตอนนี้ ไม่ค่อยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว จะเรียนอย่างอื่นที่สามารถนำไปทำงานได้
- การจบมหาวิทยาลัย ทำให้คนเป็นหนี้สินจำนวนมาก ทำให้ตอนนี้ การเรียนจบมหาวิทยาลัยไม่ใช่สิ่งสำคัญของชีวิตแล้ว
- ทางรอดของมหาวิทยาลัย
- ต้องไม่อยู่กับโหมดวิชาการแบบเดิมๆ ที่สอนคนเฉพาะความรู้ทางทฤษฎี แล้วให้ออกไปทำเอง แม้ว่าโหมดวิชาการแบบเดิมจะสร้างพวกเราที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย
- ต้องไม่อยู่กับาโหมดวิจัยแบบเดิมๆ ที่วิจัยในห้องแลป
- ต้องเปลี่ยนไปเป็นความร่วมมือกับสังคม เป็นหุ้นส่วนสังคม หรือ Engagement ซึ่งขณะนี้เป็นแนวทางของโลก เป็นเทร็นของโลก
- มหาวิทยาลัยต้องไม่ใช่แค่ Change แต่ต้อง Transform
- มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยน "วิชาการสู่วิชาการ" ไปเป็น "วิชาการสู่การปฏิบัติ" จะต้องสร้าง new platform ของการทำงานวิชาการ
- New Platform ของอุดมศึกษาแบบใหม่ จากเดิมที่ มีสี่ด้าน ได้แก่ ผลิตบัณฑิต วิจัย บริการวิชาการ และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ที่มองที่ตนเองเป็นหลัก เปลี่ยนไปเป็นมองที่ คุณค่าที่มหาวิทยาลัยทำต่อสังคม ดังนั้น อาจมองใหม่ว่า
- ผลิตบัณฑิต -> สร้างพลเมืองคุณภาพสูง
- วิจัย -> สร้างนวัตกรรม
- บริการวิชาการ -> ร่วมพัฒนาบ้านเมือง
- ทำนุบำรุงฯ -> ธำรงความดีงาม (Inetgrity)
- ให้อาจารย์มหาวิทยาลัย หมั่นตีความคุณค่าของมหาวิทยาลัยต่อสังคม
ยุคประเทศไทย ๔.๐
- ท่านกล่าวถึงสไลด์ของ ศ.วิจิตร ศรีสะอ้าน ที่นำเสนอถึงสภาพปัจจุบันของประเทศไทย ดังนี้
- รายได้ปานกลาง
- เหลื่อมล้ำสูง
- คอรัปชั่นมาก
- ขัดแย้งรุนแรง
- ปัญหาสำคัญคือ (... ไม่ขนาดนั้นมั้งครับ)
- ทุนมนุษย์อ่อนด้อย
- ทุนสังคมอ่อนแอ
- ทุนธรรมชาติเสื่อโทรม
- ทุนคุณธรรมจริยธรรมเสื่อมทราม
- ไทยแลนด์ ๔.๐
- ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
- ต้องขับเคลื่อนไปสู่ชนบท ลดความเหลื่อมล้ำ
- ต้องดูแลธรรมชาติ
- ปราบโกงและสร้างความสามัคคี
- มหาวิทยาลัย ๔.๐
- ต้องสนองยุทธศาสตร์ชาติ เชื่อมโยงประเทศไทย ๔.๐
- รัฐบาลต้องการให้มหาวิทยาลัยเป็นหัวรถจักรในการขับเคลื่อนประเทศ
- ไม่ใช่แค่ทำพันธกิจ ๔ ประการแบบเดิม
- เน้นเรื่องสร้างคนดี คนเสียสละ เพื่อสังคม
- การจัดการเรียนรู้เปลี่ยน
- ต้องจัดการเรียนรู้เพื่อนำไปปฏิบัติ
- สร้างความรู้ -> สร้างคุณค่า
- เพื่อส่วนรวม
- บูรณาการ
มหาวิทยาลัยหุ้นส่วนสังคม (Social Engagement University)
- มหาวิทยาลัยกับสังคมต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน
- วิชาการในยุคนี้ต้อง Engagement กับชีวิตจริง ไม่ใช่วิชาการเพื่อวิชาการ ต้องเป็นวิชาการเพื่อชีวิตจริงๆ ทั้งด้าน การค้า เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ
- ขณะนี้ประเทศไทยได้ก่อตั้ง Thailand Engagement เรียบร้อยแล้ว
- หลักการสำคัญของ Social Engagement คือ
- ร่วมกันทำ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเป็นผู้คิดแล้วให้ชาวบ้านทำ
- เกิดประโยชน์ร่วมกัน มหาวิทยาลัยได้เงิน ได้งาน ได้งานวิจัย ได้เพื่อน ฝั่งชุมชน ธุรกิจ ราชการ ก็ต้องได้รับประโยชน์ด้วย หรือหลายที่มีการร่วมทุนกัน เช่น มรภ.อุตรดิตถ์ ที่มีหน่วยงานราชการต่างๆ เอางบประมาณมาให้ทำ
- ได้เรียนรู้ร่วมกัน มหาวิทยาลัยและสังคมได้เรียนรู้ร่วมกัน
- เกิดผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อสังคมและชุมชน
- กระบวนทัศน์ต้องเปลี่ยนไป
- ไม่ใช่การไปช่วยเหลือสังคม เป็นการไปเป็นร่วมกัน เป็นหุ้นส่วนกัน
- ไม่ใช่ความสัมพันธ์แนวดิ่ง แต่เป็นความสัมพันธ์แนวราบ สองทาง
- ท่านยกตัวอย่าง Public Engagement ของอังกฤษ ที่ท่านไปดูงาน
- ที่อังกฤษเรียกว่า Public Engagement บ้านเราเรียก Social Engagement
- เขามี Framwork ของการทำงาน ดังภาพสไลด์นี้
- ร่วมมือกัน
- ร่วมมือด้านการวิจัยและการศึกษา
- มีกิจกรรมร่วมกันที่ทำให้มีการพูดคุย งานเทศกาลทั้งหลายมหาวิทยาลัยไปร่วมด้วย เกิดการคุยกันแบบเท่าเทียม (Dialouge)
- มีการประสานงานการจัดประชุม การประชุมเชิงปฏิบัติการ ที่ไม่เฉพาะในวงวิชาการ
- มีการเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านต่างๆ เพื่อคนทั่วไป
- บูรณาการโครงสร้างพื้นฐาน
- บูรณาการทั้งยุทธศาสตร์และการประเมิน
- บูรณาการทรัยพยากร ฝ่ายบริหารมีการดูแลอุดหนุนทรัพยากร เพื่อให้เกิดการจัดหาและใช้ทรัพยากรต่างๆ ร่วมกันอย่างเหมาะสม
- บูรณาการความคิด ความต้องการ และทุนภายจากภายนอกมหาวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยสนับสนุนให้คนในมหาวิทยาลัยไปทำวิจัยและวิชาการเพื่อชุมชน
- บูรณาการแหล่งเรียนรู้หรือกระบวนการสร้างบัณฑิต
- หลักสูตรบูรณาการกับสังคม แหล่งเรียนรู้ ฐานการเรียนรู้ เรียนรู้บนฐานปัญหาสังคม ฯลฯ
- นิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม เรียนรู้ผ่านการบริการสังคม
- แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมและชุมชน
- เรียนรู้ร่วมกัน
- สะท้อนการเรียนรู้
- ร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้
- ร่วมกันประเมินผลกระทบต่อสังคม
นวชาลาอุดมศึกษาไทย
- นวชาอุดมศึกษาไทย หมายถึง New Platform ของการอุดมศึกษาไทย
- พันธกิจ ๔ ประการ ได้แก่
- สร้างพลเมืองคุณภาพสูง
- สร้างนวัตกรรม
- ร่วมกันพัฒนาสังคมและชุมชน
- ธำรงความดีงาม
- ต้องมี 2I 2E 1C ได้แก่
- Integration
- Innovation
- Engagement
- Entrepreneur
- Callaboratoin
- ต้องเคลื่อนจาก "ภายในรั้วมหาวิทยาลัย" ไปสู่ "พื้นที่นวัตกรรม" (Innovative Zone) ต้องมี ๓ หุ้นส่วนมาร่วมกัน ได้แก่
- ภาครัฐ
- ภาคเอกชน ชุมชน วิสาหกิจชุมชน ฯลฯ และ
- ภาควิชาการ
- การมีพื้นที่นวัตกรรม หรือ Innovation Zone หมายถึง พื้นที่ๆ สามารถทำมาหากินได้ โดยมหาวิทยาลัยจะต้องออไปสู่พื้นที่ๆ ไม่ใช่ Compfort Zone ของตนเอง เป็นพื้นที่ๆ ภาครัฐ ภาคเอกชน หรือชุมชน สังคม คุ้นเคยมากกว่า
- ท่านยกตัวอย่างการไปศึกษาดูงานที่จีน แสดงพื้นที่ใหม่ของการทำงานของมหาวิทยาลัย
- Open University เป็นเครือข่ายของมหาวิทยาลัย ๘ แห่งมาทำงานร่วมกัน
- ออกทุนร่วมกัน ก่อตั้ง สมาคมออกแบบอุตสาหกรรมแห่งประเทศจีน มีเงินทุนจากรัฐบาลมาสนับสนุน
- สร้างเมืองแห่งนักออกแบบ สร้างเมืองแห่งดีไซเนอร์
- สร้างหลักสูตรปริญญาโท เพื่อสร้างนวัตกรรมต่างๆ เช่น
- ระบบควบคุมโดรน
- ผลิตแสงจากสิ่งมีชีวิต กินไฟน้อยมาก
- พาหนะแบบล้อเลื่อนยืน
- บริษัทเอกชนและมหาวิทยาลัยและรัฐบาลร่วมกัน สร้างพื้นที่ Innovation Zone ทำงานร่วมกัน
ปรับโฉมอุดมศึกษาไทย
- ปรับวิชการไปสู่ วิชาการข้ามแดน
- ข้ามพื้นที่ ข้ามรั้วมหาวิทยาลัย
- ข้ามแดนตนเอง ไปสู่แดนสังคม
- ข้ามอดีต ไปสู่อนาคต
- ข้ามวิชา ไปสู่สหวิทยาการ
- ฯลฯ
- การเรียนรู้และผลิตบัณฑิต
- Learning science หรือ ศาสตร์ว่าด้วยการเรียนรู้ บอกว่า
- การเรียนรู้ที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจากการถ่ายทอด แต่เกิดจากการปฏิบัติ
- การเรียนรู้ที่ดี ต้องได้เรียนจากการปฏิบัติและได้สะท้อน (Reflection)
- วงการศึกษาไทย เข้าใจผิดว่า การได้ชิ้นงานและตอบคำถามได้นั้น เป็นความสำเร็จ แต่ความจริง ผู้เรียนต้องสามารถ อธิบายทฤษฎีได้ คือคิดได้
- Engagement Platform จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ลึกขึ้น เพราะได้เรียนรู้จากของจริง สถานการณ์จริงๆ
- นิสิตมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการศึกษา ว่า ตนเองมารับความรู้ ที่ถูกทั้งอาจารย์และนิสิตจะต้องเป็น Co-Creator คือมาร่วมกันสร้างความรู้ การศึกษาในยุคนี้ต้องมี Co-Creator หลายๆ แบบ ตัวอย่างเช่น
- สหกิจศึกษา
- การเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม (Service Learning) -> เป็นอยู่เพื่อสังคม
- ฯลฯ
- สิ่งสำคัญที่สุดคือ Inspiration คือแรงบันดาลใจ งานวิจัยพบว่า การกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจด้วยผลประโยชน์ส่วนรวม ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีกว่าการกระตุ้นผลประโยชน์ตัวเอง
- นิสิตนักศึกษาต้องได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำวิจัยและสร้างนวัตกรรม เพราะนิสิตมีไฟ มีแรงบันดาลใจมาก
- งานวิจัย จะต้องเปลี่ยนจากแค่ Impact to peer ไปเป็น
- impact to peer
- impact to student
- impact to social
- งานบริการวิชาการ ต้อง
- ต้อง Engagement เชิงระบบด้วย ไม่ใช่แค่ไปไม่กี่คน ไปเพียงบางส่วน แต่ควรไปอย่างมีระบบ
- นิสิตได้ฝึก ได้เรียน
- อาจารย์ได้ผลงานวิจัยด้วย
- ชุมชนหรือสังคมได้ประโยชน์
- ระดมสรรพกำลังทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ฯลฯ
- ร่วมกันทำแผนระยะยาว มีส่วนที่ร่วมกันมองว่าไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว แต่ใช้เวลาหลายปี
- การธำรงความดีงาม
- เปลี่ยนจากการสั่งสอน ไปเป็นการเรียนรู้คุณธรรม ความดี จากการปฏิบัติ
- งานอาสา ทำประโยชน์เพื่อสังคม
- ธำรงความดีในทุกกิจกรรมทุกภารกิจ เช่น การช่วยกันทำงาน การเผื่อแผ่ผลงาน ฯลฯ
- ปรับระบบ
- มหาวิทยาลัยต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบ มีหน่วยงานรับผิดชอบ มีแผนยุทธศาสตร์
- ต้องทำงานตามความต้องการของประเทศไทย เอาความต้องการของสังคมและชุมชนเป็นหลัก ไม่ใช่ทำงานตามความถนัดของตนเอง
- ต้องทำงานร่วมกัน บูรณาการกันอย่างหลายสาขา หรือบางครั้งต้องร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอื่น หรือบางทีต้องใช้คนระดับโลก มหาวิทยาลัยระดับโลก
- มีฝ่ายบริหารระดับรองอธิการด้าน Engagement
- ปรับปรุงระบบให้รางวัล (reward system) เช่น ผลงานวิชาการบริการรับใช้สังคม ต้องปรับให้เอื้อ ฯลฯ
- ส่งเสริมพฤติกรรมการทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคธุรกิจ
- ท่านยกตัวอย่าง ศ.ดร.สุทธวัฒน์ เบญจกุล นักวิทยาศาสตร์ดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่สามารถ ทำงานวิจัยร่วมกับภาคเอกชน จนเกิดประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนมากมาย และสามารถได้ผลงานวิจัยจนได้รับตำแหน่งวิชาการ เป็นศาสตราจารย์ด้านการวิจัยอาหารทะเล
- ส่งเสริมระบบประเมินเพื่อพัฒนา
สรุปสิ่งที่ต้องมีสำหรับ Social Engagement University
จะต้องมี/สร้าง
- Engagement Culture
- Engagement Structure
- 2I2E1C Platform หรือ IIEEC Platform
- Transoformation Management; National & Institution Levels
- Thailand 4.0 as End, University 4.0 as Means
- Focust/Directed Scholarship แบบ IIVE คือ
- Integration
- Innovation
- Value creation
- Entrepreneurship
- ทั้งหมดที่กล่าวมา ต้องตั้งอยู่บนฐานของสังคมไทย ซึ่งจะสำเร็จได้ด้วยการ "ร่วมมือกันสิบทิศ"
(ขอบคุณภาพจาก เฟสบุ๊คมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คลิกที่นี่)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น